วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในไขมันซึ่งมีหลายรูปแบบ แต่อัลฟาโทโคฟีรอลเป็นวิตามินชนิดเดียวที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ วิตามินอีพบในธรรมชาติจากอาหารบางชนิด เช่น ธัญพืช ถั่ว และผักบางชนิด วิตามินอีมีอยู่ในอาหารหลายประเภทที่ปรากฏอยู่ในแต่ละมื้ออาหารที่เราทาน การขาดวิตามินอีนั้นเป็นเรื่องที่หาได้ยาก แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้
หัวข้อน่าสนใจ
Toggleวิตามินอี มีหน้าที่อะไรบ้าง
วิตามินอีเป็นหนึ่งในตัวปกป้องที่สำคัญที่สุดของเซลล์ร่างกาย ช่วยปกป้องเยื่อหุ้มเซลล์จากความเสียหายที่เกิดจากอนุมูลอิสระ อนุมูลอิสระเป็นโมเลกุลที่ไม่เสถียรซึ่งก่อตัวขึ้นในร่างกายของเราในระหว่างการเผาผลาญตามปกติ หรือจากปัจจัยสิ่งแวดล้อมภายนอก เช่น ควันบุหรี่ มลภาวะ และแสงแดด
อนุมูลอิสระสามารถทำให้เกิดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ซึ่งเป็นกระบวนการที่ก่อให้เกิดความเสียหายต่อเซลล์และการเสื่อมสภาพของเซลล์ มีโอกาศทำให้เกิดโรคต่าง ๆ ได้แก่
- โรคมะเร็ง
- โรคพาร์กินสัน
- โรคอัลไซเมอร์
- โรคเบาหวาน
- โรคหัวใจและหลอดเลือด
ดังนั้นวิตามินอีอาจช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระ และลดผลกระทบป้องกันไม่ให้ไปรบกวนโมเลกุลอื่นๆ ภายในเซลล์ เพื่อให้เซลล์ในร่างกายของเราทำงานได้อย่างปกติ
วิตามินอียังช่วยให้เซลล์เม็ดเลือดแข็งแรง และช่วยให้เส้นประสาททำงานได้อย่างถูกต้อง โดยช่วยเป็นสารสื่อระหว่างสมองกับร่างกาย นอกจากนี้ยังมีบทบาทในการป้องกันไม่ให้เกิดลิ่มเลือด และส่งเสริมการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันช่วยให้มีสุขภาพดี
แหล่งอาหารวิตามินอีพบในธรรมชาติ
วิตามินอีจากธรรมชาติพบมากในอาหารที่มีไขมัน มีอยู่ในอะไรบ้างนั้น ได้แก่ ถั่ว เมล็ดพืช อะโวคาโด น้ำมันพืช และจมูกข้าวสาลี ผักใบเขียวเข้ม และปลาบางชนิดก็เป็นแหล่งของวิตามินอีเช่นกัน
- น้ำมันจมูกข้าวสาลี
- น้ำมันพืช (น้ำมันดอกทานตะวัน น้ำมันดอกคำฝอย น้ำมันข้าวโพด น้ำมันถั่วเหลือง)
- เมล็ดทานตะวัน
- เมล็ดฟักทอง
- เม็ดมะม่วงหิมพานต์
- อัลมอนด์
- ถั่วลิสง เนยถั่ว
- กระหล่ำปลี ผักโขมและบร็อคโคลี่
- ฟักทอง
- พริกหยวกแดง
- หน่อไม้ฝรั่ง
- มะเขือเทศ
- มะม่วง
- กีวี
- อะโวคาโด
วิธีที่ดีที่สุดในการได้รับวิตามินอีอย่างเพียงพอในอาหาร คือการทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการที่หลากหลาย เช่น ผัก ผลไม้ ถั่ว และธัญพืช ทำให้เราได้รับวิตามินอีจากอาหารเหล่านี้โดยไม่จำเป็นต้องทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
วิตามินอี มีประโยชน์อย่างไร
วิตามินอีเป็นวิตามินที่ละลายในได้ไขมัน มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพซึ่งช่วยปกป้องเซลล์จากการทำลายของอนุมูลอิสระ
- ปกป้องเซลล์จากอนุมูลอิสระ
- เสริมภูมิต้านทาน
- ขยายหลอดเลือด
- ป้องกันลิ่มเลือด
- ส่งเสริมการทำงานของเซลล์
อาการขาดวิตามินอี
การขาดวิตามินอีเป็นเรื่องที่หาได้ยาก แต่อาการเหล่านี้อาจเป็นสัญญาณว่าขาดวิตามินอี อาการอาจแตกต่างกันไป ได้แก่
- ปวดกล้ามเนื้อหรืออ่อนแรง: วิตามินอีเป็นส่วนสำคัญของระบบประสาทส่วนกลาง การขาดสารอาหารอาจทำให้เส้นประสาท และกล้ามเนื้อเสียหายได้
- รู้สึกชาและรู้สึกเสียวซ่า: ความเสียหายของเส้นประสาท และกล้ามเนื้อนี้อาจทำให้สูญเสียความรู้สึกได้ โดยเฉพาะที่แขนและขา
- มีปัญหาในการเดินและการทรงตัว: ความเสียหายของเส้นประสาท และกล้ามเนื้ออาจทำให้การประสานงานทำได้ยาก
- ปัญหาการมองเห็น: อาการขาดวิตามินอีขั้นรุนแรงอาจสูญเสียการมองเห็นเมื่อเวลาผ่านไป
- ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ: การขาดวิตามินอีอาจไปยับยั้งเซลล์ภูมิคุ้มกัน
ทานวิตามินอีมากไม่ดี
การกินวิตามินอีที่มาจากอาหารเกินขนาดเป็นเรื่องที่หาได้ยาก แต่เป็นไปได้ที่จะหักโหมกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริม ผลข้างเคียงและอาการในบางกรณีวิตามินอีอาจทำให้เกิดดังนี้
- ผื่น (สำหรับผู้ที่แพ้วิตามินอี)
- เมื่อยล้า
- คลื่นไส้
- ตะคริว
- ปวดหัว
- มองเห็นไม่ชัด
- ปัสสาวะเข้มข้น
การทานวิตามินอีมากเกินไป อาจส่งผลขัดขวางต่อการแข็งตัวของเลือดได้ ซึ่งเป็นการป้องกันตามธรรมชาติของร่างกายจากการเสียเลือดมากเกินไปหลังจากได้รับบาดเจ็บ แต่ถ้าหากมีปริมาณที่สูงขึ้นอาจทำให้เสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงที่รุนแรงมากขึ้น เช่น โรคหลอดเลือดสมอง จากเลือดออกในสมอง
บทส่งท้าย
อาหารมีสารอาหารมากมายและส่วนประกอบอื่น ๆ ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ แหล่งวิตามินอีพบในธรรมชาติดีที่สุด ได้แก่ ถั่ว ธัญพืช น้ำมันพืช และผักใบเขียวก็มีสารอาหารที่จำเป็นครบถ้วน การรับประทานอาหารที่อุดมด้วยวิตามินอีอาจปลอดภัย และมีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทานผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
Tags: วิตามินที่ละลายในไขมัน